IS-IS & OSPF
IS-IS : Intermediate System -to- Intermediate System
- IS-IS มีค่า autonomous system (AS) ที่ 115
นั้นเป็น link state protocol ประเภทหนึ่งเช่นดียวกับ OSPF และ BGP ซึ่งมีข้อดีคือ มีการตอบสนองที่รวดเร็วเมื่อเกิดการเปลี่ยนรูปแบบโครงสร้างของระบบเครือข่าย (Fast convergence) สามารถรองรับการขยายตัวของระบบเครือข่ายในอนาคตได้ดี (Large scalability) และสามารถทำงานร่วมกับเทคโนโลยีอื่นได้ เช่น เทคโนโลยี MPLS เป็นต้น
หลักการทำงานของ IS-IS IS-IS แบ่งรูปแบบการจัดการแบบเป็นลำดับชั้นจำนวน 2 ชั้น (two-level hierarchy) โดยถ้าโดเมนมีขนาดใหญ่อาจจะแบ่งการจัดการเป็นแบบพื้นที่ก็ได้ โดยสามารถแบ่งการค้นหาเส้นทางได้ดังนี้
- Level 1 routing คือการค้นหาเส้นทางภายในพื้นที่
- Level 2 routing คือการค้นหาเส้นทางระหว่างพื้นที่
โดยที่จะมี Protocol ตัวหนึ่งที่มีชื่อว่า Level 1 IS และ Level 2 IS ทำหน้าที่ในการตรวจสอบเส้นทางว่ามีการเปลี่ยนแปลงหรือไม่ โดย Protocol 2 ตัวนี้ทำหน้าที่ต่างกัน คือ Level 1 IS จะทำงานภายในพื้นที่ของตัวเองเท่านั้น ในขณะที่ Level 2 IS จะติดตามเส้นทางระหว่างพื้นที่ หลักการในการติดต่อสื่อสารระหว่างพื้นที่ จากภาพด้านล่างเมื่อมีความต้องการที่จะติดต่อกันระหว่างพื้นที่ (A) และพื้นที่ (B) จะมีกระบวนการทำงานดังนี้
- เริ่มต้น Level 1 IS(A)จะทำการส่งต่อไปยัง Level 2 IS(A)โดยใช้ Level 1 routing ที่อยู่ภายในพื้นที่ของตัวเอง
- แล้ว Level 2 IS(A)จะได้ทำการติดต่อ Level 2 IS(B) จากตารางที่ได้มีการตรวจสอบและบันทึกไว้โดยใช้ Level 2 routing
- จากนั้น Level 2 IS(B) จึงทำการส่งต่อไป Level 1 IS(B) ซึ่งเป็นจุดหมายปลายทาง โดยใช้ Level 1 routing
Metrics
IS-IS ประกอบไปด้วย Metrics ทั้งหมด 4 ประเภท ได้แก่
- ค่า Cost ซึ่งเป็นค่าพื้นฐานที่ Routers ทุกตัวต้องมี โดยสามารถระบุได้เป็นค่าระหว่าง 0 ถึง 63 ส่วนค่าที่เหลือ อีก 3 ประเภท จะเป็นตัวเลือกเสริมซึ่งสามารถเพิ่มเข้าไปได้ แต่ในการระบุค่าดังกล่าวนั้นมีข้อจำกัดคือจะต้องคำนึงถึงยี่ห้อของอุปกรณ์ Routers ด้วย ซึ่งค่าดังกล่าว ได้แก่
- Delay คือค่าความคลาดเคลื่อนของเวลาจากจุดเริ่มต้นและจุดหมาย
- Expense คือค่าใช้จ่ายที่จะต้องเสียเมื่อวิ่งผ่านเส้นทางนั้น
- Error คือค่าความผิดพลาดที่หลงเหลือที่อาจจะเกิดขึ้นเมื่อใช้เส้นทางนั้น
ข้อดี
- สนับสนุนการทำงานกับหลากหลาย Protocol อีกทั้งยังสามารถทำงานได้บน IPv4 และ IPv6
- รองรับการขยายตัวได้ดีกว่า OSPF โดยแบ่งการจัดการเป็นแบบพื้นที่ โดยใช้ Level1 IS และ Level2 ISหรืออาจะเรียกว่า INTRA และ INTER ก็ได้
- สามารถใช้งาน MPLS-TE ร่วมกับ IPv6 ได้ในอนาคต
ข้อเสีย
- IS-IS มีการทำงานคล้ายกับ OSPF แต่มีลำดับขั้นตอนในการติดตั้งเพื่อให้สามารถใช้งานได้มากกว่า OSPF
- ค่า Metrics เริ่มต้นมีประสิทธิภาพต่ำ เช่น หาก 2 เส้นทางมีค่าความเร็วของเส้นทางที่แตกต่างกัน IS-IS จะไม่ได้คำนึงถึงจุดนี้และจะมองว่าเส้นทาง 2 เส้นนี้มีค่าเท่ากัน
- มีการใช้ Network-layer address ซึ่งไม่เป็นที่นิยมในการใช้งาน
สรุป
IS-IS เป็น Protocol ที่เหมาะสมกับองค์กรที่มีระบบเครือข่ายขนาดใหญ่ เช่น ผู้ให้บริการระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต แต่เนื่องจากการที่ IS-IS มีขั้นตอนในการติดตั้งและใช้งานที่ยุ่งยากและสลับซับซ้อน องค์กรส่วนใหญ่ในประเทศไทยจึงมักนิยมใช้ OSPF มากกว่า และหากระบบเครือข่ายมีการขยายตัวที่สูงมากองค์กรส่วนใหญ่ก็มักที่จะเลือกใช้งาน BGP มากกว่าที่จะเลือกใช้ IS-IS แต่อย่างไรก็ตาม IS-IS ก็ยังมีข้อดีเหนือกว่า OSPF และ BGP คือ IS-IS นั้นรองรับการทำงานของ IPv6 และ MPLS
Config Mode:
config#router ospf 100 100 คือค่า process id ของ OSPF
config#network [ip neighbor] [wide card] area [0,1,2,x....]
Cost interface
config#interface gi/fa x/x
config#ip ospf cost xxx (ตัวอย่างที่นี้จะเป็นค่า 100)
ค่า cost น้อยจะมีค่า priority มาก (ให้ความสำคัญมากกว่า)
Credit: http://hospital.moph.go.th
OSPF : Open Shortest Path First
- OSPF มีค่า autonomous system (AS) ที่ 110
Open Shortest Path First เป็นโปรโตคอลแบบ Link State (ไม่ส่ง Routing Table ทั้งหมดของตนไปให้กับเพื่อนบ้าน) ที่ได้รับความนิยมและเป็นโปรโตคอลที่สำคัญมากในปัจจุบัน โปรโตคอลนี้เป็นโปรโตคอลแบบ Open Standard ถูกนำไปใช้ในหลายๆผู้ผลิตอุปกรณ์เน็ตเวิร์ค รวมถึงตัวของ Cisco เอง โปรโตคอลนี้รันภายใต้ อัลกอริทึมการหาเส้นทางแบบ Dijkstra คุณสมบัติเด่นๆของ OSPF คือ
1) อนุญาติให้สร้าง Area และ Autonomous System ด้วยตัวเอง
2) ช่วยลดการทำ Routing Update
3) รองรับ VLSM/CIDR เป็นการช่วยลด Routing Entry
4) ไม่มีการกำหนดจำนวนสูงสุดของ Hop Count เหมือนอย่างของ RIP
5) เป็นโปรโตคอลแบบ Open ไม่มี Vendor รายไหนเป็นเจ้าของ
และอีกข้อดีคือ การ Design เน็ตเวิร์คของเราสามารถทำเป็นแบบลำดับชั้น (Hierarchical) นั่นหมายถึงว่า เราสามารถแบ่งเน็ตเวิร์คขนาดใหญ่ๆ ให้กลายเป็นเน็ตเวิร์คย่อยๆได้ (Area) ข้อดีของการออกแบบเป็นลำดับชั้น
1) ลด Routing Overhead
2) ลดเวลาการตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลง
3) ช่วยกำหนดขอบเขตในการเปลี่ยนแปลงของแต่ละ Network
ในการออกแบบ เราจะใช้ Area 0 (ซึ่งต้องมี หากเราออกแบบให้มีหลายๆ Area แต่หากเราใช้แค่ Area เดียวในระบบ เราไม่จำเป็นจะต้องใช้ Area 0) Router ที่เชื่อระหว่าง Backbone (Area0) กับในแต่ละ Area ย่อยๆ จะถูกเรียกว่า Area Border Router หรือ ABR
นอกจาก OSPF สามารถใช้งานภายใต้ Autonomous System เดียวกันได้แล้ว ยังสามารถเชื่อมต่อไปยัง Autonomous ตัวอื่นๆได้ Router ที่ทำหน้าที่นี้ถูกเรียกว่า Autonomous System Boundary Router
คำศัพท์ที่ควรรู้เกี่ยวกับ OSPF
1) Link คือ Network หรือ Router Interface ที่กำหนดให้แก่แต่ละ Network เมื่อ Interface ได้กำหนดให้รัน OSPF มันจะถูกเรียกว่า “Link” และจะถูกให้สามารถรับส่งข้อมูลได้
2) Router ID คือ IP Address ที่กำหนดให้แก่ Router อุปกรณ์ Cisco เลือก Router ID จาก IP Address ที่สูงที่สุดโดยหาจากขา Interface (ที่ Active) ของมันเอง แต่ขา Interface ที่เป็นแบบ Physical สามารถที่จะ Down ได้ เราจึงควรใช้ Interface แบบ Logical แทน ด้วยการใช้ Loopback Interface ซึ่งจะ Down ก็ต่อเมื่อ Router ทั้งลูก Down ไปเท่านั้น
3) Neighbor คือ การที่ Router 2 ตัวหรือมากกว่าเชื่อมต่อกัน การที่จะเป็นเพื่อนบ้านกันได้ ต้องประกอบด้วย
– Area ID
– Stub area flag
– Authentication password (ถ้าได้รับการ Enable)
– Hello and Dead Intervals (ต้องเท่ากันทั้ง Area)
4) Adjacency คือ ความสัมพันธ์ ระหว่าง Router ที่รัน OSPF และต้อง ”อนุญาต” ให้แลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกัน (ต่างกับ EIGRP ตรงที่ต้องแชร์ข้อมูลทุกอย่างให้กับเพื่อนบ้าน) OSPF จะเลือกการแชร์ข้อมูล และแลกเปลี่ยนข้อมูลกันกับเพื่อนบ้านที่มีความสัมพันธ์กันเท่านั้น “ไม่ใช่ Router ทั้งหมดจะเป็น Adjacency” ทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับประเภทของ Network และ Configuration ของเราเตอร์ เราเตอร์จะสร้างความสัมพันธ์กับฝั่งตรงข้ามของการเชื่อมต่อ
5) Designated Router (DR) คือ เราเตอร์ที่ถูกเลือกจาก Broadcast Network เดียวกัน ในการทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางในการสร้างความสัมพันธ์ และทำหน้าที่ในการรับข้อมูลการทำ Routing และส่งข้อมูลให้กับสมาชิกใน Broadcast Network เดียวกัน วิธีการเลือก DR คือเลือกจากค่า Priority สูงสุดใน Router (Router ID) Router ทั้งหมดใน Network จะสร้างความสัมพันธ์กับ DR และ BDR เพื่อให้แน่ใจว่าได้ Synchronize ข้อมูลระหว่างกัน
6) Backup designed router เป็นตัว Standby ของ DR
7) Hello protocol เป็นโปรโตคอลเพื่อการค้นหาเพื่อนบ้านและการตรวจสอบสถานะของเพื่อนบ้าน เมื่อใช้ร่วมกับ LSA มันจะสามารถสร้าง Topological database ได้ การทำงานของ Hello Protocol ใช้ Multicast Address 224.0.0.5
8) Neighborship database เก็บรายการข้อมูลของ OSPF Router เพื่อนบ้านไว้ วิธีการเก็บก็คือรับมาจาก LSA Packet ที่รับได้จากใน Area เดียวกัน และใช้ Dijkstra algorithm ในการค้นหาเส้นทางที่สั้นที่สุด
9) Link State Advertisement (LSA) คือ OSPF data packet ที่ใช้ในการตรวจสอบสถานะของ Router มีหลายประเภท และ OSPF จะรับส่ง LSA เฉพาะ Router ที่ทำ adjacencies กันเท่านั้น
10) OSPF Area เป็นกลุ่มของ Router ที่ต่อเนื่องกัน หรือเรียกง่ายๆ ก็คือกลุ่มเดียวกัน มีหมายเลข Area เดียวกัน แต่ใน Router ตัวหนึ่งสามารถเข้าได้หลาย Area ดังนั้น area id จึงขึ้นอยู่กับขา Interface ของ Router เป็นหลัก Router ใน Area เดียวกันจะมี Topology Table เดียวกัน
11) Broadcast (multi-access) Ethernet เปิดให้อุปกรณ์หลายๆตัวใช้ Network เดียวกัน การทำ Broadcast สามารถส่งข้อมูลให้กับทุกโหนดในเน็ตเวิร์ค
12) Nonbroadcast multi-access ตัวอย่างเช่น Frame relay, X.25
13) Point-to-Point เป็นการเชื่อมต่อระหว่างอุปกรณ์สองตัว
14) Point-to-multipoint เป็นการเชื่อมต่อระหว่างอุปกรณ์หนึ่งตัวกับหลายตัว
การทำงานของ OSPF ประกอบด้วย
1 เพื่อนบ้านและการเริ่มความสัมพันธ์
2 การทำ LSA
3 การคำนวณ SPF (Shortest Path First)
เมื่อ OSPF เริ่มต้นการทำงาน Router แต่ละตัว จะเริ่มทำการจองหน่วยความจำใน Router สำหรับการทำงาน และสำหรับการเก็บตารางทั้ง Neighbor และ Topology
Hello Protocol ถูกนำมาใช้ในการค้นหาเราเตอร์เพื่อนบ้าน การเริ่มต้นสร้างความสัมพันธ์ระหว่างกัน และการรักษาความสัมพันธ์ระหว่างเราเตอร์ที่รัน OSPF แต่ละตัว Hello Protocol จะใช้ Hello Packet (ซึ่งมีรายละเอียดย่อยๆอีก) ในการสำรวจเราเตอร์เพื่อนบ้าน โดยการส่งเป็นระยะเวลา (ส่งแบบ Multicast)
LSA Flooding เป็นวิธีการที่จะทำให้ Router แต่ละตัวแชร์ Routing Information กัน LSA จะประกอบไปด้วยข้อมูลของ link-state ที่แชร์กันทุกๆ Router ภายใน Area เดียวกัน
Network Topology จะสร้างจาก LSA Update และกระจายข้อมูลเหล่านี้ให้กับRouter ตัวอื่นๆ เพื่อให้เกิดการคำนวณเส้นทาง ในการ flood นี้จะใช้ Multicast address 224.0.0.5
ภายในแต่ละ Area แต่ละเราเตอร์ภายในนั้นจะทำการ คำนวณเส้นทางที่สั้นที่สุดในทุกๆ Network โดยการใช้ Algorithm ที่เรียกว่า SPF
การคำนวณค่า Metric ของ OSPF
เรามี Metric ใน OSPF ที่เรียกว่า Cost เป็นผลรวมของทุกๆขาออก (Outgoing Interface) ของ Router มีสูตรการคำนวณคือ 10^8/bandwidth
Credit: http://www.greatinfonet.co.th
Config Mode:
Router#conf t
config#router isis
#net 49.0000.0000.0000.000x.00 ตัวแปร x เป็นค่าจำนวนที่ต้อง config ซึ่งเป็นค่า area ของอุปกรณ์ในโครงข่าย เป็นค่าตัวเลขฐาน 10 (1,2,3,4,x,.....) : x = x + 1 , 49 คือเลข private, 00 สุดท้ายเป็น 0 เสมอ
จากนั้นให้เข้าไปใน interface gi/fa x/x
config-if#ip router isis
คำสั่งในการตรวจสอบ isis
-show isis neighbor
Credit: http://www.greatinfonet.co.th
Config Mode:
Router#conf t
config#router isis
#net 49.0000.0000.0000.000x.00 ตัวแปร x เป็นค่าจำนวนที่ต้อง config ซึ่งเป็นค่า area ของอุปกรณ์ในโครงข่าย เป็นค่าตัวเลขฐาน 10 (1,2,3,4,x,.....) : x = x + 1 , 49 คือเลข private, 00 สุดท้ายเป็น 0 เสมอ
จากนั้นให้เข้าไปใน interface gi/fa x/x
config-if#ip router isis
คำสั่งในการตรวจสอบ isis
-show isis neighbor
Comments
Post a Comment